วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559


เทคนิคการสอน
   ทุก ๆ วัน คุณครูนับหมื่นจะสอนบทเรียนเดิม ๆให้กับนักเรียนนับล้าน ทุก ๆ คืน นักเรียนนับล้านก็จะต้องนั่งทำการบ้านเดิม ๆ พยายามแก้โจทย์แบบเดิม ๆ แต่  “ห้องเรียนกลับด้าน”  จะเปลี่ยนกิจวัตรเดิม ๆ นั้นไปโดยสิ้นเชิง


10 อันดับประโยชน์ในการหาความรู้นอกห้องเรียน




1.ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับชีวิตของเรามากขึ้น
สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ต่างๆเป็นตัวทำลายพลังงานของเราลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี ที่จะเป็นตัวช่วยสร้างความเข้มแข็งอดทนมากขึ้นและก็สร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี


2.ช่วยเยียวยารักษาความกดดันได้เป็นอย่างดี
ทุกวันนี้ผู้คนแทบทุกคนก็ล้วนเผชิญกับความกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก จนมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ การหาความรู้นอกห้องเรียนให้มากๆ ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราคลายความกดดันต่างๆลดลงเป็นอย่างมาก

3.ทำให้เรากล้าเข้าร่วมกับสังคมมากยิ่งขึ้น
โลกของเราทุกวันนี้ เราจะต้องกล้าเข้าร่วมกับสังคมที่แตกต่างกันออกไปให้ได้ ซึ่งแน่นอนการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และก็ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมร่วมกันกับสังคมได้อย่างสนุกสนาน


4.ช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองได้
แน่นอนว่าการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองกับปัญหาต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้เป็นอย่างดี ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำให้เราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้ไม่ยากเย็นนัก


5.ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น
การหาความรู้นอกห้องเรียนช่วยให้เรามีความรับผิดชอบและรู้หน้าที่มากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่นการทำกิจกรรมต่างๆเช่น กีฬา ที่เราจะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบกับทีมโดยส่วนรวม และยังทำให้เรากล้าเผชิญหน้าความท้าทายต่างๆมากขึ้นด้วย


6.ช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาดีขึ้น
การหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาดีขึ้นมากในแต่ละวัน ทำให้เราวางแผนการงานได้อย่างเหมาะสม และมีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเราควรที่จะหาความรู้นอกห้องเรียนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


7.ช่วยให้เราผ่อนคลาย สบายใจ
การหาความรู้นอกห้องเรียนถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เรามีความผ่อนคลาย สบายใจในยามที่เราเกิดความเครียดขึ้นมา ถือเป็นแนวทางที่ดีอย่างหนึ่งที่ช่วยบำบัดอาการต่างๆได้เป็นอย่างดี


8.ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเองมากขึ้น
คนที่ชอบเก็บตัวก็ได้ประโยชน์จากการหาความรู้นอกห้องเรียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและบุคลิกภาพของตัวเองได้เป็นอย่างดี


9.ช่วยให้เราสามารถสำรวจค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้พวกเราสามารถค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบได้อย่างอิสระ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรนัก และก็เก็บความคิด ความรู้สึกเอาไว้ในใจตลอด ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะทำให้เราเข้าใจตัวเองว่า ชอบอะไร สนใจอะไรบ้าง



10.พัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี
การเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยพัฒนาทักษะความสามารถในเรื่องความสัมพันธ์อันดีงามมากขึ้น และช่วยให้เรามีความเชื่อมั่นในการพูดคุยกับผู้คนได้มากขึ้น ทำให้เราออกไปข้างนอกเปิดโลกกว้างได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

ดนตรีบำบัด


ดนตรีบำบัด คือ .. .

ดนตรีบำบัด (Therapy Music) คือ ศาสตร์ของการนำดนตรี หรือองค์ประกอบอื่น ที่เกี่ยวกับดนตรี มาประยุกต์ใช้ เพื่อปรับเปลี่ยน พัฒนาให้กับสุขภาพและร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์
โดยนักดนตรีบำบัด จะเป็นผู้ดำเนินการผ่านทางกิจกรรมโดยใช้เสียงดนตรี ซึ่งดนตรีบำบัดไม่ได้มีเป้าหมายที่ทักษะดนตรีแต่เพียงอย่างเดียว  หากแต่ ยังเน้นในด้านพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล ที่มารับการบำบัดโรค บำบัดสมอง และบำบัดจิต  ซึ่งดนตรีบำบัดจะเข้ามามีส่วนช่วยทำให้ดีขึ้น

เป้าหมายของดนตรีบำบัดไม่ได้เน้นที่ทักษะทางด้านดนตรี แต่จะมุ่งเน้นด้านพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ขึ้นอยู่กับสภาพและความจำเป็นของแต่ละบุคคลที่มารับการบำบัด
การนำดนตรีมาใช้ประโยชน์อื่น ๆ นอกจากสร้างความรื่นรมย์ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น จากหลักฐานมากมายที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่า ดนตรีผูกพันกับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคหิน ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกได้ใช้ดนตรีประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ใช้ในการเต้นรำ มีการนั่งล้อมวงรอบกองไฟ และร้องเพลง พร้อมกับเต้นไปรอบ ๆ กองไฟ รวมทั้งใช้ในการเยียวยารักษาโรค

ประโยชน์ของดนตรีบำบัด
    ดนตรีบำบัดสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ ใช้ได้ทั้งในวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ เพื่อสนองตอบความจำเป็นที่แตกต่างกันไป ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ปัญหาพัฒนาการบกพร่อง โรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ ปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง ความพิการทางกาย อาการเจ็บปวด หรือสำหรับคนปกติทั่วไป ก็สามารถใช้ประโยชน์จากดนตรีบำบัดเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด หรือเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน


วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559


ข้อคิดดีๆในการทำงาน


1. แผนการเกษียณอายุเป็นการป้องกันชีวิตตัวเองตกต่ำไม่ให้ตกถึงขีดสุด

การวางแผนชีวิตตัวเองเรื่องการเกษียณคล้ายๆ กับการทำประกันชีวิต ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้อีกต่อไปคุณจะทำยังไง คุณจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงตัวในวันที่คุณทำงานไม่ได้ คนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิต พอตอนเกษียณก็ต้องทนใช้ชีวิตกินอาหารถูกๆเพราะเดี๋ยวเงินหมด แถมเงินเฟ้อก็ยังทำให้ค่าเงินของคุณลดมูลค่าไปราวๆ 2-4% ต่อปี สุดท้ายถ้าคุณเงินหมดในวัยเกษียณ คุณก็ต้องหางานทำหรือไม่ก็ต้องสร้างธุรกิจใหม่อยู่ดี แล้วการเกษียณมันจะต่างอะไรจากตอนที่ไม่เกษียณ

2. ดอกเบี้ยและสภาพร่างกายเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา

การทำอะไรซ้ำๆกันวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อล้มพับหรือรอเสพสุขตอนแก่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนๆผมหลายคนหน้าตาเหี่ยวย่นทั้งๆที่อายุยังน้อยเพราะทำงานกองมหึมาและอด นอน งานกับการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในชีวิตหนึ่งถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นคุณพักผ่อนถึง 1 ใน 10 ของการทำงานหรือเปล่า เราไม่ควรทำงานหนักเพื่อสะสมความสุขยามเกษียณหรอก แถมประสิทธิภาพของคุณก็ขึ้นๆลงๆ คุณควรพักผ่อนและทำงานเฉพาะตอนที่คุณกำลังมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างผล ออกดอกและมีความสุขยิ่งกว่า

3. ทำน้อยไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ

การทำงานเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไร้คุณภาพเป็นที่ยอมรับมากกว่าคนที่ทำงาน น้อยแต่มีประสิทธิภาพ บางคนเอาคุณภาพงานมาวัดด้วยเวลา ยิ่งนานแสดงว่ายิ่งขยัน การทำน้อยหลายๆครั้งสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าการทำเยอะๆด้วยซ้ำ เศรษฐีมิติใหม่แม้จะทำงานในออฟฟิตน้อยกว่า แต่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าคนที่ทำงานเยอะ 10 คน เน้นทำตัวให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำตัวให้ยุ่ง

4. จังหวะที่ดีที่สุดไม่มีในโลก

ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ลงมือเลย ติดขัดอะไรก็แก้ไขระหว่างทาง อย่ารอให้วันดีๆมาหาคุณโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไร โลกไม่ได้กลั่นแกล้งคุณแต่ก็ไม่ได้เอาความสำเร็จใส่พานมาให้คุณด้วย การรอโอกาสและใช้คำว่า “ซักวันหนึ่ง” มันจะทำให้คุณเอาความฝันลงหลุมไปพร้อมกับคุณ

5. ทำไปก่อนค่อยมาขอโทษทีหลัง

ถ้าคุณลงมือทำตามใจที่คุณอยากทำแล้วไม่มีคนอื่นเดือดร้อน ไม่มีใครที่จะต้องเจ็บตัวจากการตัดสินใจของคุณ ทำไปเลย ไม่ต้องขออนุญาติใคร อย่ารอให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ลงมือทำ อย่าให้ใครมาห้ามคุณได้ คนส่วนใหญ่จะห้ามคุณไม่ให้คุณเร่งเครื่อง ถ้าคุณมั่นใจ คุณก็ไม่ควรหยุด ไว้เครื่องพังเมื่อไหร่ก็ค่อยขอโทษก็ได้

6. เน้นเพิ่มจุดแข็ง ไม่ต้องสนใจจุดอ่อน

คนส่วนใหญ่เก่งอยู่ไม่กี่ด้าน นอกนั้นห่วยหมด หลายคนเก่งคิดและทำไม่ได้เรื่อง ถ้ามันยุ่งยากนักก็จ้างคนอื่นทำให้แทนเลยสิ การเน้นจุดแข็งมีประโยชน์มากกว่าอุดรูรั่ว เน้นใช้อาวุธไม้ตายดีกว่าทำอะไรที่ไม่ถนัดครึ่งๆกลางๆ

7. อะไรที่มากเกินไปมักกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม

ของดีๆ ถ้ามีมากเกินไปก็จะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุกับเวลา เยอะไป มากไป หรือบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นพิษร้ายสำหรับคุณ บางคนทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิตเขา เป็นหนี้หัวโต กลายเป็นชีวิตต้องทำงานเพื่อวัตถุ เครียดว่าจะหาเงินมาผ่อนเดือนชนเดือนทันหรือเปล่า

8. เงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออก

คำว่า “ถ้ามีเงินเยอะกว่านี้” เป็นคำพูดของคนที่ชอบผลัดผ่อน เป็นการเลื่อนการตัดสินใจทำสิ่งสำคัญๆต่อชีวิตไปในภายภาคหน้า หลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ แต่การใช้คำนี้ทำให้เหตุผลที่จะไม่ลงมือทำดูสวยงามทันที การพยายามทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา ทำชีวิตให้ยุ่งเข้าไว้แล้วโกหกตัวเองว่าทั้งหมดทำเพื่ออนาคตเป็นเรื่องที่ ไม่เข้าท่า เป็นภาพลวงตา หลอกตัวเองสิ้นดี มันเป็นเกมส์ที่ทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องยากๆ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่อยู่ที่คุณ

9. คิดถึงรายได้ที่เพียงพอทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย

เศรษฐีมิติใหม่ไม่ได้สนใจเงินก้อนโต แต่เขาสนใจรายได้ที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายด้วยเวลาทำงานที่น้อยที่สุด และที่สำคัญเขาสนใจคุณภาพของรายได้มากกว่าปริมาณ อย่างเช่นนาย ก ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้เงิน 50,000 ต่อเดือน กับนาย ข ได้เงิน 25,000 ต่อเดือน แต่ทำงานวันละชั่วโมง กรณีอย่างนี้ถือว่านาย ข รวยกว่า เพราะถ้าเอาเวลาที่ใช้ไปมาหารกับรายได้น้อยกว่า นาย ข จะมีเวลาทำเงินและทำอย่างอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายตัวเองด้วย

10 ความเครียดคือยาเสริมและยาพิษ
คนที่หลีกหนีคำตำหนิทั้งหมดจะเป็นคนที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต หลายๆครั้งถ้าไม่มีแรงกดดันชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า ยิ่งเราสามารถสร้างความเครียดที่ดีเพื่อส่งเสริมชีวิตตัวเองได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสที่ชีวิตจะเติบโตและไปถึงฝั่งฝันได้มากขึ้นเท่านั้น อย่าพยายามหนีความเครียดด้วยการไม่ทำอะไรเลย ถ้าคุณแยกความเครียดที่ดีและเอามาใช้ประโยชน์ได้ ชีวิตคุณจะก้าวไปข้างหน้าเยอะเลย

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า
“ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ”
พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ
นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด
และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้
พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดีผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต
แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป
ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน
ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่”
ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต
แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม
ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง
“โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า
จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า
“เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้น
ไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก
พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม”
“ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”
คติธรรม ที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559



เทคนิคมองโลกในแง่ดี 


       คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทยอารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"

      นอกจากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้


ยามพบอุปสรรคในการทำงาน

ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย


ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา
โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้

ยกตัวอย่าง
เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"


ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขายังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ

ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง


เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น
ก. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
ค. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ

วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559


เทคโนโลยีสำหรับครู




แว่นตาชีวิต

ใครรวยกว่าใคร ลองพิจารณาดู

                        มหาเศรษฐีผู้หนึ่งสุดแสนจะภาคภูมิใจ    ที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขา ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาก 
ซึ่งต้องเป็นระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาจึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ได้    โดยส่วนตัวเขาเองก็ต้องการสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในสังคม  ควบคู่ไปกับการสอนวิชาการในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายของเขาท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ต่อมาวันหนึ่ง   เขาก็อยากรสอนเรื่องความยากจนให้กับลูกชาย เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงยากที่จะต้องเจอ 
เขาได้พาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาในต่างจังหวัดครอบครัวหนึ่ง และให้พักอยู่กับชาวนาเพื่อเรียนรู้ความเป็นอยู่ของคนยากจนเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน หลังจากนั้นลูกชายก็ได้กลับถึงคฤหาสน์ของเขา เศรษฐีก็ทดสอบว่าลูกชายได้อะไรมาบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน  ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นพ่อว่า เขาขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า…. 
               ….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่แม้จะกว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา 
               ….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อ ในขณะที่บ้านของเรา มีเพียงตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร 
               ….ตอนรับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร แต่มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน 
               …ลูกชาวนาเวลาที่ซ้อนท้ายจักรยานพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อเพื่อไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ด้นหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไป 
               …ชาวนามีแสงดาว แสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่าง ตลอดเวลาในตอนกลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟ ที่ต้องซื้อด้วยเงิน 
               ….ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำและภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่                             ….ลูกชาวนามีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
               …. ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบพูดอะไรไม่ออก ลูกชายสบตาพ่อแล้วกล่าวต่อว่า…. 
ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้เรียนรู้ว่าเราจนขนาดไหนคุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิต เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด หากเราทุกคนเปลี่ยนมาเป็นพอใจในสิ่งที่เรามีตามความเหมาะสม แทนที่จะดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อน ชีวิตหนึ่งของเรานั้นสั้นนัก จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559